เป็นลูกรักของหัวหน้าอย่างไรให้สมศักดิ์ศรี (ฉบับโปรแกรมเมอร์)
ตอนผมเริ่มทำงานครั้งแรก พี่ในทีมชอบแซวผมว่าผมเป็นลูกรักของหัวหน้า (Boss’s Favorite)
ฟังครั้งแรกก็ตกใจ เพราะการเป็นลูกรักมักจะมาพร้อมกับภาพของการประจบสอพลอ
แต่ผมมั่นใจว่าไม่ได้ประจบแน่ๆ เพราะแกเป็นต่างประเทศ ตอนนั้นผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
แค่เรื่องงาน บางทีก็ต้องให้แกเขียนสรุปเป็นอีเมลล์ให้ เพราะฟังสำเนียงเท็กซัสของแกไม่รู้เรื่อง
เวลาผ่านไป ผมผ่านหัวหน้าสิบกว่าคน ได้เป็นทั้งลูกรัก ลูกชัง และลูกธรรมดาๆ ผมค้นพบสามเรื่องที่เหมือนกันสำหรับหัวหน้าทุกคน
เรื่องแรกเลย คือการเป็นลูกรักของหัวหน้ามันดีต่อหน้าที่การงานมาก
ช่วงเวลาที่ผมได้โปรโมท ได้ขึ้นเงินเดือนเยอะกว่าปกติ จะเกิดขึ้นตอนที่ได้เป็นลูกรักของหัวหน้าตลอด
นอกเหนือจากเรื่องเงินและตำแหน่ง คุณได้งานที่ท้าทายความสามารถคุณเรื่อยๆ หัวหน้า(ที่ดี)จะเลือกงานที่ที่ยากพอเหมาะให้กับลูกรัก เพราะเขาเห็นในศักยภาพว่าคุณโตต่อไปได้ ยังทำได้มากกว่าแค่แก้บั้กเล็กๆ หรือทำฟีเจอร์พื้นๆ
ซึ่งอาจจะหมายถึงการได้ Lead โปรเจ็คทั้งที่ประสบการณ์ทำงานไม่ได้เยอะมาก ทำโปรเจ็คใหญ่ๆ หรือแม้แต่ส่งคุณไปทำโปรเจ็คต่างประเทศ
อีกสัญญาณคือ หัวหน้าจะคิดถึงเรื่อง Career path ให้คุณ วางแผนพัฒนาทักษะที่จำเป็น เพื่อเลื่อนขั้นคุณในอนาคต ผมเคยเจอหัวหน้าพาผมไปเข้าประชุมที่ไม่รู้ว่าผมไปเกี่ยวอะไรด้วย พอเวลาผ่านไป ถึงพบว่าหัวหน้าพาไปเพื่อให้คนในที่ประชุมนั้นรู้จักผม เพื่อเขียน Feedback ให้ตอนขอเลื่อนขั้น
เรื่องที่สอง คือหัวหน้าทุกคนมีลูกรักอยู่ในใจ แค่บางคนปฏิบัติตัวเหมาะสม และไม่ลำเอียงจนออกนอกหน้า
บางคนอาจจะมองว่าหัวหน้าที่ดี ควรปฏิบัติต่อทุกคนในทีมเท่าเทียมกัน
แต่ลองนึกภาพว่าคุณเป็นหัวหน้าเองดูนะครับ ถ้ามีลูกน้องบางคนที่ทำงานได้ดีกว่า ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการ ลูกค้าชมตลอด มันก็เป็นธรรมชาติที่คุณอยากจะสนับสนุนลูกน้องคนนั้นเป็นพิเศษ
(ส่วนเรื่องประจบสอพลอแล้วได้ดี อันนี้คงมีแหละ แต่ผมขอข้ามไปก่อน)
อย่างที่สาม คือการเป็นลูกรักของหัวหน้า ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นก็เป็นได้ง่ายๆ
และต่อให้เป็นได้ ก็ต้องทำตัวให้คู่ควร และสมศักดิ์ศรี ไม่งั้นเพื่อนร่วมทีมก็จะทำการบอยคอต
พอหัวหน้าปัจจุบันย้ายงาน คุณจะเปลี่ยนสถานะเป็นหมาหัวเน่าอย่างรวดเร็ว
บทความนี้ผมจะหยิบเอา “ลักษณะ” ของโปรแกรมเมอร์ลูกรัก มาเล่าให้ฟังกันครับ บางอย่างก็มาจากประสบการณ์ตรง บางอย่างก็มาจากการสังเกตลูกรักคนอื่น รวมไปถึงการตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าทำไมผมถึงรู้สึกอยากสนับสนุนรุ่นน้องบางคนเป็นพิเศษ
อยากให้เอาไปสังเกตกันว่าโปรแกรมลูกรักในทีมคุณมีลักษณะพวกนี้รึเปล่า หรือลองเอาไปปรับใช้กับตัวเอง
- มีผลงาน
ต่อให้ประจบสอพลอเก่ง แต่ถ้าจับโปรเจ็คไหนก็พังพินาศ คุณเป็นลูกรักของหัวหน้าไม่ได้หรอกครับ
หน้าที่หลักๆของเราก็คือทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย หากเราไม่มี Track of records ที่ดี ไม่มีหัวหน้าคนไหน ไว้ใจให้ทำอะไรสำคัญๆ
พูดง่ายๆคือหัวหน้าไม่เชื่อมือ (Trust)
การที่จะมีผลงานได้ ก็ต้องได้งานมาทำก่อน
ในมุมนี้ First impression สำคัญมาก ตอนคุณเข้าทีมใหม่ๆ หัวหน้าจะจัดตำแหน่ง(ในหัว)ให้คุณใน 3-6 เดือนแรก ว่าคนนี้จะเป็นตัวท็อปของทีม หรือตัวสร้างปัญหา
อันนี้ผมบอกแทนหัวหน้าได้ เพราะพวกซีเนียร์ในทีมก็จะทำกันในหัวเหมือนกัน
ยกตัวอย่าง เวลามีคนเข้าทีมใหม่ ถ้าผมเป็น Mentor ผมจะให้งานที่คิดว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับประสบการณ์ให้
แต่งานนี้ต้องเป็นงานที่ไม่สำคัญขนาดที่ถ้าพลาดขึ้นมา ผลกระทบจะรุนแรง
ถ้าเป็นเด็กจบใหม่หรือประสบการณ์น้อยกว่า 2 ปี ผมจะให้แก้บั้กง่ายๆก่อนเลย เช็คดูว่า
- เซ็ตอัพ Development Environment เองเป็นไหม
- อ่าน README.md ไหม
- เวลาติดปัญหาแล้วแก้เองได้แค่ไหน
ถ้างานแรกรอด แล้วค่อยๆให้งานอื่นที่เพิ่มระดับความยากขึ้น
ถ้ามีประสบการณ์สัก 2-5 ปี ผมจะให้ทำฟีเจอร์ที่ใหญ่ขึ้นหน่อย ก่อนที่จะให้ทำ ก็จะให้เขียนดีไซน์มาให้ดูก่อน พออ่านดีไซน์ก็จะได้พอเดาได้ว่าคนคนนี้ใส่ใจรายละเอียดแค่ไหน (คิดถึงเรื่อง Edge case หรือ performance ไหม) เคยทำจริงมารึเปล่า เวลาออกแบบแล้วคิดถึงอนาคตตอน maintain หรือ extend ได้ไหม
ถ้าประสบการณ์ 5+ ปี ผมคาดหวังว่าต้องมีทักษะด้าน Soft skill พอที่จะคุมโปรเจ็ค และคุยกับลูกค้าได้ อันนี้ผมจะดูทั้งดีไซน์ และไปเข้าประชุมด้วยตอนแรกๆ
กรณีนี้ผมจะระวังหน่อย เพราะระดับซีเนียร์ ถ้าสร้างปัญหาขึ้นมาแล้วงานจะงอกเยอะ เช่นดีไซน์อะไรแปลกๆแล้วสร้าง Technical debt ไปอีกหลายปี คุยสโคปกับลูกค้าไม่เคลียร์แล้วงานบานาปลายตอนใกล้ๆจบโปรเจ็ค หรือเขียนโค้ดแบบที่อ่านไม่รู้เรื่อง ผ่านไปซักหกเดือนแล้วพังท่าประหลาดๆบน Production คนอื่นซ่อมไม่ได้
จากประสบการณ์ แค่ผ่านสามเดือนแรก ผมก็บอกได้แล้วว่าคนนี้มีโอกาสจะได้เป็นลูกรักหัวหน้าหรือเปล่า
- ไม่เกี่ยงงาน
มีโปรแกรมเมอร์หลายคนมากที่ชอบทำอะไรที่ตัวเองถนัด แล้วไม่ยอมทำอย่างอื่น
ยกตัวอย่างที่ผมเจอบ่อย คือ Software Engineer ที่ไม่ชอบทำ Frontend หรือ Infra automation กัน
อ้างว่าทำไม่เก่ง ทำช้า ให้คนอื่นทำเร็วกว่า ไม่ตรงกับสโคปงาน
แต่ถ้าไม่ฝึก มันจะมีวันทำได้ไหม?
บางคนชอบอ้างว่าเป็น Backend engineer เชี่ยวชาญแค่ด้านนี้ แต่พอให้เขียน Unit กับ Integration test ก็ทำหน้าเหยเก พอให้แตะลึกลงหน่อยในระดับที่ต้องรับ Concurrency สูงๆ ก็ไม่ไปศึกษาเพิ่มให้ถ่องแท้
ชอบทำแต่อะไรเดิมๆง่ายๆกับตัวเอง แล้วหานู่นนี่มาเป็นข้ออ้าง
หนึ่งในสิ่งที่ผมเห็นลูกรักทุกคนของหัวหน้ามีเหมือนกัน คือ”สั่งอะไรก็ทำ” ไม่เกี่ยงงานหนัก งานหน้าเบื่อ หรืองานที่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
อันนี้สำคัญมาก ยิ่งถ้าคุณยังเป็นจูเนียร์อยู่ ทำไปเถอะครับ
(ข้อนี้ผมยกเว้นอย่างนึง คืองานที่มันไม่ใด้เกี่ยวข้องกับสายงานเราเลย เช่นวางสายแลน ลงโปรแกรมให้แฟนหัวหน้า หรือช่วยเลี้ยงลูกให้ช่วงปิดเทอม ถ้าเจออะไรพรรค์นั้น หนีให้ไวเลย)
ถ้าทำไม่เป็น ก็บอกไปตามตรงว่าขอเวลาเพิ่มหน่อย หรือขอให้คนในทีมช่วยสอนให้หน่อย อย่ามีอคติกับสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้จักลึกซึ้ง
การได้ทำทุกอย่าง ผมมองว่ามีประโยชน์มากต่อการพัฒนาทักษะของคุณแบบ T-shape ซึ่งมีประโยชน์มากในระยะยาว คุณอาจจไม่ได้เทพด้านนั้นเหมือนคนอื่น แต่อนาคต คุณจะคุยสโคปงานเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ เพราะเคยลงมือทำจริงมาก่อน
ถ้ามีงานที่ไม่มีใครในทีมอยากทำ เสนอตัวทำเลยยิ่งดี (ถ้าประเมินแล้วไหวนะ) คุณจะได้เป็นที่รักของทุกคนในทีมเลย
พอเวลาผ่านไป งานนี้อาจจะมีแต่คุณทำเป็นคนเดียว พอมีใครติดเรื่องนี้ หัวหน้าก็จะส่งมาให้คุณสอน นี่แหละ ทางลัดสู่การเป็นลูกรัก
ส่วนกรณีซีเนียร์ คุณจะต้องคิดนิดนึง ไม่เลือกทำทุกอย่าง เพราะเวลาคุณมักจะไม่พอกับภาระหน้าที่
พยายามเลือกงานตามความสำคัญ ไม่ใช่ความอยากทำ งานบางอย่างน่าเบื่อมาก แต่มันก็ต้องทำ ยกให้คนอื่นทำไม่ได้ เพราะพลาดขึ้นมาแล้วเรื่องใหญ่
ยกตัวอย่างเช่นพวกเรื่อง Security review มันเป็นงานที่ต้องการคนที่เข้าใจภาพรวมของระบบ เข้าใจ OWASP Top 10 พอไปคุยกับ Pentesters และมีประสบการณ์ในการทำงานพอว่ามันสำคัญยังไง อะไรที่ต้องระวัง พอทำโปรเจ็คถัดๆไป คุณจะวางแผนเรื่องพวกนี้ไว้ได้ก่อนหน้าเลย ไม่ต้องมาไล่เก็บตอนปลายโปรเจ็ค
หรือการลีดโปรเจ็ค คุณต้องคุยกับคนนอกทีม ปวดหัวเรื่องคน กดดันกับการรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่ทักษะที่ใช้ในการจัดการเรื่องพวกนี้ คือสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานให้สำเร็จ มันเป็นทักษะที่ขีดเส้นแบ่งระดับซีเนียร์กับ mid-level และยังเป็นทักษะที่เรียนรู้ในหนังสือไม่ได้
พอคุณทนทำเป็นสัก 2-3 ครั้ง คุณก็สามารถสอนงานให้(ลูกรัก)คนอื่น แล้วไปทำงานที่สำคัญกว่า พัฒนาทักษะใหม่ๆที่ต้องใช้ไปเรื่อยๆ
- มีการพัฒนา
สำหรับหัวหน้างาน (หรือแม้แต่ซีเนียร์ในทีม) สิ่งหนึ่งที่เราภูมิใจมากคือเห็นรุ่นน้องที่เราคอย Mentor เก่งขึ้นครับ
ผมเองพึ่งจะเข้าใจก็ช่วงหลังๆ เวลาเห็นรุ่นน้องที่เราโค้ชได้โปรโมท หรือทำงานได้ดีขึ้นชนิดที่เป็นคนละคน
มันเป็นความรู้สึกที่เจ๋งมากนะครับ ผมมีคนในทีมที่ตอนเข้างานใหม่ๆ เค้าไม่ได้จบด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ตอนแรกๆ เข้าประชุมก็ประหม่า ทำอะไรก็ต้องมาถามแทบทุกอย่าง
พอผ่านสองปี นำประชุมได้เอง พูดจาฉะฉาน มีอะไรก็ไปค้นคว้าหาคำตอบได้เอง แถมทำหน้าที่โค้ชคนอื่นได้แล้ว
ผมแทบจะวิ่งไปบอกหัวหน้าเลยว่าช่วยเลื่อนขั้นให้เร็วๆเถอะ แต่ดูแล้วหัวหน้าก็เตรียมแผนเอาไว้แล้ว ก็ลูกรักอ่ะนะ
ถ้าอธิบายด้วยอีกคำพูดหนึ่ง คือลูกรักมักจะมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ (Potential) คุ้มค่าแก่การลงแรงพัฒนา
คนเหล่านี้หัวหน้ามักจะรู้สึกอยากสนับสนุนเป็นพิเศษ
ซึ่งการจะเป็นแบบนี้ได้ ลูกรักพวกนี้ต้องฝึกเรียนรู้ให้เป็นนิสัย ต้องเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองขาดอยู่ (หา Feedback) และวางแผนในการปรับปรุงตัวอยู่ตลอด
- จัดการหัวหน้าได้ดี
บางคนอาจจะเคยได้ยินทักษะที่เรียกว่า “Manage up”
คือเราเองก็ต้องจัดการหัวหน้าให้เหมาะสมด้วย
หัวหน้ามีหลายประเภทครับ แต่ละคนก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน แต่ที่จะเหมือนกันหลักๆ คือเค้าเป็นมนุษย์ปุถุชนดฟมืแนดรา มีเวลาจำกัด และคาดหวังว่าลูกน้องจะทำงานตามที่สั่งได้ดี
ยกตัวอย่างสิ่งที่ควรจะทำประจำกับหัวหน้าก็ได้แก่
4.1 เข้าใจเป้าหมายของหัวหน้า - มองภาพกว้าง อย่างมองแค่ทำงานตรงหน้าให้เสร็จ พยายามมองด้วยว่า อะไรคือปัญหาปัจจุบันของทีม ทำไมหัวหน้าถึงแคร์บางโปรเจ็คเป็นพิเศษ
การเข้าใจหัวหน้าจะทำให้เราสามารถช่วยตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างถูกต้อง ประหยัดเวลา
ถ้าไม่แน่ใจ แนะนำให้ถามเลยครับ หัวหน้าเค้าอยากบอกแหละ มันสำคัญสำหรับเค้าเหมือนกัน
4.2 สไตล์การทำงาน - หัวหน้าบางคนชอบประชุมแบบคุยต่อหน้า บางคนก็อยากให้สรุปเป็นอีเมลล์มาให้ ส่ง direct message มาแค่เรื่องเร่งด่วนพอ บางคนแทบไม่เช็คอีเมลล์
ผมเคยเจอมาทุกแบบ บางคนนี้คนละชั้วกับสไตล์ผมเลย (ผมไม่ชอบ direct message มาก โดยเฉพาะพวกที่ทักมาว่า “Hello, do you have time?” )
แต่ในฐานะลูกน้อง เราต้องปรับตัวให้เข้ากับหัวหน้าครับ ไม่ใช่ตรงกันข้าม
4.3 อัพเดตสิ่งที่ทำให้ฟัง ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี - โปรแกรมเมอร์หลายๆคนมักจะเล่าแต่เรื่องร้ายครับ เราถูกฝึกมาให้คิดถึงทุกวิธีที่โค้ดจะพังได้ เวลาเราจัดการกับเรื่องอื่นๆ เราก็มักจะใช้วิธีเดียวกัน
แต่หัวหน้าต้องการฟังเรื่องที่ดี เพื่อเอาไปเล่าให้หัวหน้าของหัวหน้าอีกต่อ ไม่งั้นทีมจะดูไม่มีความสำเร็จอะไร
ส่วนเรื่องไม่ดี ก็ต้องรีบเล่าให้ฟังแต่เนิ่นๆครับ ยิ่งเวลาที่ติดปัญหาในระดับที่อาจจะทำให้โปรเจ็คดีเลย์
สิ่งที่หัวหน้าส่วนใหญ่เกลียด คือการต้องฟังปัญหาของทีมตัวเองจากปากของคนนอกทีม โดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องเลย ถ้าเห็นลางร้ายอะไรก็บอกแต่เนิ่นๆครับ จะได้ช่วยกันแก้ หรือไม่ก็ให้หัวหน้าเตรียมตัวเอาไว้
4.4 ถามเหตุผลก่อนเถียง - หนึ่งในสิ่งที่ผมทำผิดบ่อย คือเถียงก่อนทำความเข้าใจคนอื่นครับ ในฐานะคนที่อยู่หน้างาน เรามีข้อมูลที่หัวหน้าไม่มี ในขณะเดียวกัน หัวหน้าก็จะมีข้อมูลภาพรวมที่เราไม่มี บางครั้ง การที่เค้าเสนอแนะอะไรบางอย่าง เค้าอาจจะมีเหตุผลนอกเหนือจากเรื่อง Technical ที่เราไม่รู้ก็ได้
ดังนั้น ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกัน อย่างพึ่งเริ่มจากการตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่ให้เริ่มจากทำความเข้าใจก่อน ว่าทำไมอีกฝั่งถึงคิดอีกแบบ ทำให้หัวหน้ารู้สึกว่าเราฟังเค้าอย่างถ่องแท้ ก่อนที่จะเสนอความคิดที่แตกต่าง ไม่ใช่หัวหน้าพูดยังไม่ทันจบ ก็เริ่มเถียงแล้ว
- ให้เครดิตคนอื่น
เครดิตเป็นสิ่งที่ยิ่งให้ยิ่งเพิ่มครับ อย่างหวง แจกๆไปเหอะ
บางทีเรามักจะลืมการให้เครดิตในเรื่องเล็กๆน้อยกับคนอื่น เพราะเห็นว่ามันเล็กไป แต่คนที่เค้าช่วยเรา เค้าอาจไม่ได้มองว่ามันเล็กไปนะครับ
ถ้าบั๊กที่คุณแก้ได้มีคนช่วย หรือมีคนช่วยตอบคำถามหรือแนะนำให้คุณระหว่างทาง เวลาอัพเดตเรื่องนี้ให้กับหัวหน้า ทั้งตอน Stand up และตอนคุยกันส่วนตัว บอกให้ชัดเจนด้วย ว่ามีใครช่วย
เวลาคุณเห็นคนที่ให้เครดิตคนอื่น คุณรู้สึกยังไงกับคนคนนั้นครับ?
คุณคงไม่คิดหรอกว่า “เฮ้ย ไม่เก่งจริงนี่หว่า ไม่ได้ทำเองหมด”
คุณจะรู้สึกว่าคนคนนี้น่าคบหา น่าทำงานด้วย และที่สำคัญที่สุด น่าเชื่อถือ
หัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานคุณก็คิดเหมือนกัน
- นำเสนอตัวเอง
ต่อให้คุณเก่งล้นฟ้า แต่หัวหน้าไม่รู้ คุณจะไปได้ไกลแค่ไหนครับ?
หลายๆครั้ง ทีมจะมีโอกาสให้คุณนำเสนอตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Sprint demo รวมไปถึงพวก Knowledge sharing ต่างๆ
เวลาจบโปรเจ็ค ต้องไปพรีเซ็นต์ให้ลูกค้า คุณอาจจะเสนอตัวนำเสนอส่วนที่เป็น Technical เอง
นอกจากการพรีเซ้นต์ คุณอาจจะเสนอตัวช่วยเพื่อนร่วมทีมแก้ปัญหาที่เค้าติดอยู่ หรือเป็น Mentor ให้กับเด็กใหม่ในทีม
ผมสังเกตมาเยอะแล้วว่ามีโปรแกรมเมอร์เก่งๆหลายคน ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเลื่อนขั้นให้เหมาะสม เพราะเค้าโฟกัสแค่เรื่อง Technical แต่ไม่เคยแสดงให้หัวหน้าเห็นความสามารถ
ในบางบริษัท (หรือบางทีม) หัวหน้าอาจจะสังเกตและเข้าใจคนแนวนี้ แต่ในทางปฏิบัติ หัวหน้าแบบนี้มีน้อยครับ แค่งานที่ทำทุกวันก็ท่วมหัวอยู่แล้ว เค้าไม่มีเวลามาหาความเก่งที่เราเก็บซุกเอาไว้หรอก
ดังนั้น เก่งแล้วก็ต้องเสนอหน้าให้หัวหน้าและคนอื่นรู้ว่าเก่งด้วย อย่างเก่งเงียบๆ
อันนี้ไม่ใช่ให้ไปโอ้อวดนะครับ เส้นแบ่งระหว่างคนขี้อวด กับคนที่นำเสนอตัวเองเป็นมันชัดเจนมาก ถ้าไม่มั่นใจ ลองถามเพื่อน(ที่สนิท)ในทีมดู ว่าคุณไปทำอะไรให้คนอื่นรู้สึกหมั่นไส้กันรึเปล่า ถ้าไม่ ยังอวดได้อีกเยอะครับ
จบแล้วครับ ผมเขียนบทความนี้เพราะรู้สึกว่าโปรแกรมเมอร์เรามักจะคิดแต่การพัฒนา Technical skill เป็นหลัก บางคนก็บ่นว่าทำไมหัวหน้าไม่แฟร์กับตัวเอง
ผมเชื่อว่าการประจบสอพลอ เล่นการเมือง แย่งผลงาน แทงข้างหลัง หรือเด็กเส้น มีอยู่จริง และมีอยู่ทุกออฟฟิซแหละ แค่เราสังเกตเห็นรึเปล่า
แต่ผมเชื่อด้วยว่า การเป็นลูกรักหัวหน้า มันมีช่องทางมากกว่าวิธีเหล่านั้น
ถ้าเราหยุดแล้วลองมาคิดพิจารณาให้ดี เราอาจจะเห็นช่องทางอื่นๆ และเป็นช่องทางที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาวด้วย อยากให้ขยับจาก Comfortzone เพื่อเดินตามช่องทางเหล่านั้นกันครับ
---
ติดตามบทความสำหรับโปรแกรมเมอร์ทั้งด้านได้ที่ Facebook page Not about code หรือ Twitter @notaboutcode บทความของเพจจะเน้นเนื้อหาที่นำไปใช้ได้กับชีวิตจริง แต่ไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีหรือภาษา เช่น System Design, Continuous Delivery, Testing, Career, etc.
สำหรับท่านที่อยากสนับสนุนผู้เขียน รบกวนช่วยแชร์โพสต์ในเฟสบุ้คให้กับเพื่อนๆที่น่าจะสนใจหัวข้อพวกนี้ด้วยครับ